20 กุมภาพันธ์ 2550
คำอธิบายงบการเงินรวมปี 2549
20 กุมภาพันธ์ 2550
เรื่อง ขอนำส่งงบการเงิน ปี 2549
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สิ่งที่ส่งมาด้วย งบการเงิน ปี 2549 ของบริษัท และงบการเงินรวมของบริษัทและบริษัทย่อย
พร้อมคำอธิบายงบการเงินรวม
บริษัทบีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ขอนำส่งงบการเงินของบริษัท และงบการเงินรวม
ของบริษัทและบริษัทย่อยสำหรับ ปี2549 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 ซึ่งผ่านการตรวจสอบจาก
ผู้สอบบัญชี และคณะกรรมการตรวจสอบได้สอบทานแล้ว ดังที่ได้แนบมาด้วยนี้
ปี2549 กลุ่มบีอีซี เวิลด์ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,643ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 762ล้านบาท
เท่ากับดีขึ้นกว่า86% จากการปรับฟื้นของธุรกิจของบีอีซี เวิลด์ ที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี2548
สามารถเพิ่มรายได้จากการขายเวลาโฆษณาได้มากกว่าปีก่อนกว่า1,151ล้านบาท จากการเพิ่มอัตราการ
ใช้เวลาโฆษณาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง และการปรับเพิ่มราคาในบางช่วงเวลา ในขณะที่ต้นทุนการให้
บริการไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม และแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะมีเพิ่มมาบ้างแต่ก็เพิ่มขึ้นในอัตรา
ที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ ทำให้กลุ่ม บีอีซี เวิลด์ มียอดกำไรสุทธิและอัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นมาก
ดังที่ได้อธิบายในคำอธิบายงบการเงินรวมที่ได้แนบมาด้วยพร้อมนี้
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นายฉัตรชัย เทียมทอง)
ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายการเงิน
คำอธิบายงบการเงินรวม ปี 2549 บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน)
ภาวะอุตสาหกรรม
ในไตรมาสสุดท้ายของปี2549 การใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ได้ยุบตัวต่ำลงมาจากที่เคยใช้
ในไตรมาสก่อนเล็กน้อยประมาณ2% จากการเพิ่มความเข้มงวดในการโฆษณาเครื่องดื่ม และการห้าม
โฆษณาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงท้ายของปี และการที่ยูนิลีเวอร์-ผู้โฆษณารายใหญ่-ลดการใช้จ่าย
ลงค่อนข้างมากในเดือนพฤศจิกายน แต่ก็ยังมีการเติบโตสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่อีก4%
เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ในปี2549ทั้งปีเป็นยอดเงิน53,475ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน7% ซึ่งเป็นการ
เติบโตในอัตราที่สูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมที่โตขึ้นเพียง5% ทำให้สื่อโทรทัศน์มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น
59% แต่ก็น่าเสียดายที่อุตสาหกรรมมีความผันผวนค่อนข้างมากในช่วงครึ่งหลังของปี สินค้าประเภทเครื่องดื่ม
ได้ลดการใช้เงินโฆษณาในครึ่งปีหลังค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งแรกของปี ทำให้ยอดทั้งปีต่ำลง
จากปีก่อนในอัตราที่สูง และทำให้อุตสาหกรรมโตในอัตราที่ต่ำลง แต่หากมองในแง่ดีก็จะเห็นว่ามีแนวโน้ม
ให้เห็นได้ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมมีความหลากหลายมากขึ้น จากการเพิ่มการใช้จ่ายของสินค้ากลุ่มเล็กๆที่
เพิ่มเป็นจำนวนสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในครึ่งหลังของปี ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดีในอนาคต อย่างไรก็ตาม
เมื่อดูตัวเลขการใช้จ่ายเงินโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ทั้งปี โดยรวมก็ยังดูเหมือนปีก่อนๆ กลุ่มสินค้าที่ใช้เงินโฆษณา
ผ่านสื่อโทรทัศน์ในอัตราสูงก็ยังเป็นกลุ่มเดิมๆ เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่อุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มติดกลุ่มรายใหญ่
ผู้โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์รายใหญ่ ก็ยังหน้าเดิมๆ แต่บางรายจะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าเฉลี่ยมาก แม้ว่า
อัตราการเติบโตที่ช่อง3ได้จากผู้โฆษณาบางรายสูงขึ้นมากก็ตาม แต่เมื่อดูจากอัตราส่วนแบ่งตลาดที่แต่ละช่อง
ได้จากผู้โฆษณาแต่ละรายแล้ว ก็มีเหตุมีผล และ เมื่อพิจารณาตัวเลขส่วนแบ่งตลาดนั้นควบคู่ไปกับกลุ่มคนดู
และส่วนแบ่งคนดูของแต่ละช่อง เห็นได้ว่าการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดซึ่งช่อง 3 ของกลุ่ม บีอีซี เวิลด์
สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นได้อีกร้อยละ3ในปี2549นั้นก็น่าจะมีโอกาสที่จะปรับ
ให้ได้ดีขึ้นอีก
โครงสร้างของกลุ่มบีอีซี เวิลด์
ในปี2549 กลุ่มบีอีซี เวิลด์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกลุ่ม อย่างเป็นสาระสำคัญนอกจากการ
แลกเงินลงทุนในบริษัทร่วม-บริษัทโซนี่ มิวสิค บีอีซี เทโร เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด เป็นเงินลงทุนใน
บริษัท โซนี่ บีเอมจี มิวสิค เอนเทอร์เทนเมนต์ (ประเทศไทย)จำกัด และขายเงินลงทุนนี้ทั้งหมดออกไป
ในระหว่างปี แต่อย่างไรก็ตาม การที่บริษัท ธีมสตาร์ จำกัด ได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นบริษัทย่อย
มาเป็นบริษัทร่วมในเดือนธันวาคมปี2548 จึงทำให้การเปรียบเทียบในงบกำไรขาดทุนระหว่างปี2549
และ 2548 แสดงผลต่างค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในส่วนของรายได้และต้นทุนจากการจัดคอนเสิร์ต
และแสดงโชว์ ที่ในปี2548ได้รวมรายได้และต้นทุนของการจัดแสดงโชว์ของ บริษัท ธีมสตาร์ จำกัดไว้
แต่ไม่มีรายการเหล่านี้ในงบกำไรปี2549 แม้จะมีตัวเลขค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารของบริษัท
ธีมสตาร์ จำกัด อยู่ในงบกำไรขาดทุนปี2548ด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่เป็นสาระสำคัญเท่ากับรายได้และ
ต้นทุนดังที่กล่าว
ผลการดำเนินงาน
กลุ่ม บีอีซี เวิลด์ มีกำไรสุทธิในปี2549 เท่ากับ 1,643ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 762ล้านบาท เท่ากับดีขึ้น
กว่า86% จากการปรับฟื้นของธุรกิจของบีอีซี เวิลด์ ที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี2548 สามารถเพิ่ม
รายได้จากการขายเวลาโฆษณาได้มากกว่าปีก่อนกว่า1,151ล้านบาท จากการเพิ่มอัตราการใช้เวลา
โฆษณาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง และการปรับเพิ่มราคาในบางช่วงเวลา ในขณะที่ต้นทุนการให้บริการ
ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม และแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะมีเพิ่มมาบ้างแต่ก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า
การเพิ่มขึ้นของรายได้ ทำให้กลุ่ม บีอีซี เวิลด์ มียอดกำไรสุทธิและอัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นมาก
รายได้จากการขาย สำหรับปี เทียบปีต่อปี
(ล้านบาท) 2549 2548 ล้านบาท %
เวลาโฆษณา 6,114 4,963 1,151 23.2%
ให้ใช้สิทธิและบริการอื่น 295 296 -1 -0.2%
จัดคอนเสิร์ตและแสดงโชว์ 366 1,033 -667 -64.6%
รวมรายได้จากการขาย 6,775 6,292 483 7.7%
รายได้จากการขายเวลาโฆษณาของกลุ่ม บีอีซี เวิลด์ ในไตรมาสสุดท้ายก็เป็นเช่นเดียวกับอุตสาหกรรม
คือต่ำลงกว่าไตรมาสก่อนแต่ก็ยังเติบโตดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนโดยที่กลุ่ม บีอีซี เวิลด์ ทำได้ดีกว่า
อุตสาหกรรม โดยที่ในไตรมาสสุดท้ายของปีทำได้ดีกว่าปีก่อน6% และรวมทั้งปีทำได้ดีกว่าปีก่อน23%
จากการที่สามารถเพิ่มอัตราการใช้เวลาโฆษณาได้ดีขึ้นกว่าปีก่อนมาก อีกทั้งยังสามารถปรับราคาขึ้นได้
ในบางช่วงเวลาอีกด้วย ส่วนรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและแสดงโชว์ที่แสดงต่ำกว่าปีก่อนนั้นก็เนื่อง
มาจากการที่ไม่ได้รวมยอดรายได้ของบริษัท ธีมสตาร์ จำกัด ที่ได้แปลงสภาพจากบริษัทย่อยมาเป็น
บริษัทร่วมดังที่ได้อธิบายในเรื่องโครงสร้างข้างต้น
ต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย สำหรับปี เทียบปีต่อปี
(ล้านบาท) 2549 2548 ล้านบาท %
ต้นทุนให้บริการ 2,911 2,925 -14 -0.5%
ต้นทุนการจัดแสดง 374 979 -605 -61.8%
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,332 1,162 170 14.7%
รวมต้นทุนและค่าใช้จ่าย 4,617 5,066 -449 -8.9%
ต้นทุนให้บริการ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากปีก่อน เนื่องจากการขยายงานซึ่งเป็นเหตุให้ต้นทุนเพิ่มในปีก่อน
นั้นได้เสร็จสิ้นใน ช่วงท้ายของปีก่อนนั้นแล้ว ส่วนต้นทุนการจัดการแสดงที่ลดลงมากจากปีก่อนนั้นก็เนื่องมา
จากการที่ปีนี้ไม่ได้รวมเอายอดรายได้ของบริษัท ธีมสตาร์ จำกัด ที่แปลงสภาพจากบริษัทย่อยมาเป็นบริษัทร่วม
ดังที่ได้อธิบายในเรื่องโครงสร้างข้างต้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มจากปีก่อนนั้น ส่วนใหญ่
เป็นค่าใช้จ่ายในการขายที่สูงขึ้นตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ฐานะการเงิน
สินทรัพย์โดยรวมเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับยอด ณ สิ้นปี2548 โดยที่เงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวได้
เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากตามการเพิ่มขึ้นของผลกำไร หนี้สินเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนเนื่องจากภาษีเงินได้
ที่เพิ่มขึ้น ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นตามกำไร กลุ่มฯมีฐานะมั่งคงเช่นเคย